การ จูงใจ พนักงาน ขาย
สิ่งจูงใจด้านลบ จะใช้เมื่อผลการปฏิบัติงานหรือพฤติกรรมของพนักงานขายต่ำกว่า เป้าหมายหรือไม่เป็นที่ยอมรับ สิ่งจูงใจที่ใช้ ได้แก่ การลงโทษ การตำหนิ การขู่ เป็นต้น 3. สิ่งจูงใจที่เป็นตัวเงิน ( CASH INCENTIVE) การจูงใจพนักงานขายโดยใช้สิ่งจูงใจ ที่เป็นตัวเงิน ได้แก่ การจ่ายค่าตอบแทนในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อสร้างแรงจูงใจให้แก่พนักงานขาย การแข่งขันการขายโดยให้รางวัลเป็นตัวเงิน การให้รางวัลพิเศษที่จ่ายเป็นเงิน เป็นต้น 4. สิ่งจูงใจที่ไม่เป็นตัวเงิน ( NONCASH INCENTIVE) การจูงใจพนักงานขายที่ไม่ เป็นตัวเงิน ได้แก่ นโยบายและการบริหารงานขององค์การ การเลื่อนตำแหน่ง การสร้างความ รู้สึกมั่นคงต่องานที่ทำ สภาพการทำงานที่ดี การฝึกอบรมพนักงานขาย การประชุมการขาย การ แข่งขันการขาย ฯลฯ *********************** แบบประเมินผลการเรียนรู้ ตอนที่ 2 จงทำเครื่องหมายกากบาท ( x) ลงหน้าข้อที่ถูกต้องที่สุด 1. พนักงานขายเสริมการขายทำหน้าที่ใด ก. เป็นตัวแทนผู้ผลิตทำการติดต่อเยี่ยมลูกค้า ข. ให้ความช่วยเหลือทางเทคนิคแก่ลูกค้า ค. ให้คำแนะนำและการบริการกับข้อมูล ง. ให้คำสั่งซื้อและให้บริการแก่ลูกค้า 2. กิจกรรมของพนักงานขายไม่เกี่ยวข้องกับข้อใด หน้าที่การขาย ข.
การจูงใจลูกค้า - การพัฒนาบุคลิกภาพนักขาย 2202-2008
- Bk Acne Mask ซื้อ ที่ไหน
- การ จูงใจ พนักงาน ขาย nft
- ต้ม แซบ เอ็น แก้ว หมู การ์ตูน
- การ จูงใจ พนักงาน ขาย บ้าน
AIDA คืออะไร? การดึงดูดลูกค้าด้วยทฤษฎี AIDA Model - GreedisGoods GreedisGoods มีการเก็บ Cookies เพื่อมอบประสบการณ์ใช้งานที่ดียิ่งขึ้น หากท่านใช้เว็บไซต์ต่อไปโดยไม่ปรับตั้งค่าเราเข้าใจว่าท่านยินยอมที่จะรับคุกกี้ ยินยอม ดูรายละเอียด
การจัดการขาย
6 การปิดการขาย (Closing the Sales) เป็นกระบวนการหลังการขจัดข้อโต้แย้งแล้วนักขายจะมีการสรุปให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการโดยจะเสนอทางเลือก รวมไปถึงการให้ข้อเสนอพิเศษ เช่น คิดราคาพิเศษ ให้ส่วนลด หรือของแถม เป็นต้น 3. 7 การติดตามผล (Follow up) การขายที่สมบูรณ์แบบจะต้องมีการติดตามผล เช่น การบริการหลังการขาย การเยี่ยมเยียนลูกค้า เป็นต้น ตลอดจนให้บริการต่างๆ เพิ่มเติม เช่น การส่งมอบ การติดตั้ง การให้คำแนะนำ เป็นต้น เพื่อให้ลู้กค้าพึงพอใจแบะรักษาสัมพันธภาพมี่ดี ซึ่งนำไปสู่การซื้อซ้ำหรือเป็นลูกค้าประจำได้ในอนาคต 3. 8 การรายงานผลทางการขาย (Sales Report) เมื่อทำการปิดการขายเสร็จสิ้นนักขายจะต้องเขียนรายงานการขายให้ผู้บังคับบัญชาทราบ ซึ่งการเจียนรายงานการขายจะข่วยทำให้ทราบถึงความก้าวหน้าในการดำเนินงานของนักขาย 3. 4 ข้อควรปฏิบัติของนักขายเพื่อจูงใจลูกค้า ก่อนการขายสินค้าหรือบริการนักขายควรปฏิบัติ ดังนี้ 3. 4. 1 ต้องมีความรู้เกี่ยวกับตัวสินค้าหรือบริการ ความรู้ที่นักขายมีต้องมากพอที่จะให้ข้อมูลแก่ลูกค้าได้อย่างครบถ้วน ทั้งเรื่องราคา ส่วนลด หรือเงื่อนไขต่างๆ นักขายจะต้องแสดงออกผ่านคำพูดด้วยความมั่นใจ เพื่อให้ลูกค้าเกิดความเชื่อมั่นต่อสินค้าหรือบริการที่นำเสนอขาย 3.
การส่งเสริมการขายที่มุ่งสู่พนักงานขาย ต้องอาศัยเครื่องมือการพยากรณ์ความคุ้มค่าของค่าใช้จ่าย ผลที่จะได้รับจากกระบวนการในการทำการขาย การใช้จิตวิทยาเฉพาะบุคคลในการจูงใจลูกค้าเพื่อการตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการ และคุณภาพในการทำการขายที่ประกอบด้วยการสร้างบรรยากาศระหว่างการขาย การสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับพฤติกรรมการตัดสินใจของผู้บริโภคและอุปโภค การสร้างแรงจูงใจและการสร้างความสัมพันธ์ระยะยาว วัตถุประสงค์ของการส่งเสริมการขายมุ่งสู่พนักงานขาย 1. เพื่อกระตุ้นให้พนักงานขายกระตือรือร้นที่จะทำยอดขายให้สูงขึ้น 2. เพื่อจูงใจให้พนักงานขายมีการแข่งขันในการทำยอดขายตามเป้าหมายของบริษัท 3.
4 ความต้องการมีชื่อเสียงและอยากเด่นอยากดัง ( Esteem Needs) ได้แก่ ต้องการให้บุคคลอื่นยกย่อง มีหน้ามีตาในสังคม ซึ่งปรากฏออกมาในบทบาทและสถานภาพในสังคมมีชื่อเสียงหรือสร้างจุดเด่นในเรื่องต่าง ๆ 1. 5 ความต้องการความสำเร็จในชีวิต ( Self-actualization Needs) ซึ่งเป็น ความต้องการระดับสูงสุด คือความต้องการความสำเร็จตามความคิดฝันของอุดมการณ์ 2.
ที่ดิน
2 จูงใจลูกค้าด้วยอารมณ์ สินค้าและบริการของผู้ขายมีส่วนช่วยทำให้ลูกค้ารู้สึกดีด้านใดบ้าง เช่น เมื่อเลือกให้สินค้าหรือบริการของผู้ขายแล้ว ลูกค้าจะมีความสง่า ภูมิฐาน รสนิยม นำสมัย รู้สึกสบาย หรือมีความปลอดภัยจากอันตราย เป็นต้น 3. 3 จูงใจลูกค้าด้วยระบบบริหารขององค์กร เช่น มีระบบการจัดการส่งสินค้าที่ตรงเวลา ส่วสินค้าถูกต้องครบตามจำนวน มีบริการที่ดี มีสินค้าให้เลือกมากมาย หรือมีบริการหลังการขายที่เชื่อถือเป็นต้น 3. 3 เทคนิคการขายเพื่อจูงใจลูกค้า 3. 1 การสรรหาผู้มุ่งหวัง (Prospecting) เป็นจุดเริ่มต้นของเทคนิคในการขายโดยผู้คาดหวังมีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการให้เกิดการประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายที่จะต้องเสียไปในการติดต่อทางการค้า การสรรหาผู้มุ่งหวังอาจได้มาจากสมุดรายชื่อต่างๆ แฟ้มเอกสารของบริษัท เพื่อนหรือญาตมิตรเป็นผู้แนะนำ การพบปะงานสังคม ลูกค้าประจุบันของบริษัท ธนาคารพาณิชย์และบริษัทเงินทุนต่างๆ งานแสดงสินค้า หอการค้าหรือสมาคมการค้า เอกสาร สิ่งตีพิมพ์หรือสมุดโทรศัพท์ เพื่อหารายชื่อผู้ที่จะสนใจในตัวสินค้า จากนั้นจะดำเนินการติดต่อทางโทรศัพท์ จดหมาย หรืออีเมล เพื่อให้ข้อมูลเบื้องต้นและนัดพบลูกค้าต่อไป 3.
2 พูดให้เป็นธรรมชาติ โดยใช้คำพูดที่สุภาพ ไพเราะ และมีหางเสียง 3. 3 หลีกเลี่ยงการใช้ศัพท์แสลงหรือศัพท์เฉพาะ ควรคำนึงถึงระดับของลูกค้า เพราะหากใช้ศัพท์เฉพาะอาจทำให้ลูกค้าฟังไม่รู้เรื่อง จึงควรใช้ภาษาเดียวกับลูกค้า เช่น ลูกค้าพูดภาษาถิ่น ถ้านักขายพูดภาษาถิ่นได้จะทำให้สามารถสื่อสารได้เข้าใจง่ายมากขึ้นและทำให้ลูกค้ารู้สึกว่านักขายมีความเป็นกันเอง 3. 4 เสนอแนะถึงประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับจากสินค้าหรือบริการ โดยอธิบายประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับ เช่น คุณค่าทางด้านคุณภาพ ความสะดวกสบายพื้นฐานต่างๆ หรือประโยชน์จากการใช้ผลิตภัณฑ์ ซึ่งสามารถช่วยแก้ปัญหาให้กับลูกค้าได้ ทำให้ลูกค้าเกิดความมั่นใจจากการซื้อสินค้าหรือบริการนั้น 3. 5 พยายามตอบข้อซักถามจากลูกค้า เพื่อลูกค้าจะได้รับทราบข้อมูลสินค้าหรือบริการซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสทางการขายมากขึ้น 3. 6 อดทนต่อสิ่งที่อาจเกิดขึ้นได้ในระหว่างการสนทนา เช่น คำตำหนิ คำร้องเรียน การปฏิเสธการโต้แย้งในเรื่องส่วนลดของสินค้าหรือบริการ โดยนักขายต้องไม่แสดงอารมณ์ฉุดเฉียงต่อลูกค้า 3. 7 สร้างสายสัมพันธ์ระยะยาว เพื่อให้ลูกค้าเกิดการซื้อซ้ำ รวมถึงช่วยบอกต่อและชักชวนเพื่อนหรือญาติสนิดให้สนใจซื้อสินค้า เพื่อเป็นการสร้างสายสัมพันธ์อันดีจนกลายเป็นลูกค้าประจำและสร้างลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น
ทฤษฎีลำดับความต้องการ หรือทฤษฎีการจูงใจของอับราฮัม มาสโลว์ ( Maslow's Hierarchy of Needs) ผู้เสนอทฤษฎีนี้คือ อับราฮัม เอช มาสโลว์ ( Abraham H. Maslow) 1. 1 ความต้องการของคน สามารถนำมาเรียงลำดับตามความสำคัญได้จากความต้อง ต่ำสุดไปถึงความต้องการสูงสุด คือ ความต้องการทางด้านร่างกาย ความต้องการความปลอดภัย ความต้องการด้านสังคม ความต้องการมีชื่อเสียง และความต้องการให้เกิดความสำเร็จในชีวิต 1. 2 ความต้องการที่ได้รับตอบสนองแล้ว จะไม่เป็นสิ่งจูงใจพฤติกรรมของคนต่อไปอีก แต่จะสามารถจูงใจได้จากความต้องการที่อยู่สูงขึ้นไปที่ยังไม่ได้รับการตอบสนอง 1. 3 ความต้องการของคนจะซ้ำซ้อนกับความต้องการอันหนึ่ง อาจจะยังไม่ทันหมดไปความต้องการอย่างอื่นจะเกิดขึ้นมาได้ ดังนี้ 1. 3. 1 ความต้องการทางด้านร่างกาย ( Physiological Needs) หมายถึง ความ ต้องการในปัจจัยการดำรงชีวิตเพื่อความอยู่รอด เช่น ปัจจัยสี่ (อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยากรักษาโรค) 1. 2 ความต้องการด้านความปลอดภัย ( Safety Needs) หมายถึง ความต้องการที่จะให้มีความปลอดภัยในชีวิต ทรัพย์สิน รวมทั้งความมั่นคงในชีวิต 1. 3 ความต้องการด้านสังคมหรือความรัก ( Social Needs) ความต้องการที่จะเป็นสมาชิกของกลุ่ม ความรู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ความต้องการเพื่อน ต้องการเป็นที่รักของบุคคลอื่น เป็นต้น 1.